“วันนึงยืนรับลูกค้าบ่อยๆ แล้วเห็นแต่คนรวยๆ มาใช้บริการลงจากรถเบ็นซ์ บีเอ็ม Alphad เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากรวยบ้าง และสุดท้ายเราก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเอง”
ฐิติรัตน์ คัมภิรานนท์
ตอนเรียนเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่เข้าใจเลยว่าจะเรียนไปทำไม โกรธอาจารย์แนะแนวมาก ที่ไม่เคยแนะนำ แม่ก็ไม่เคยบังคับเรื่องเรียน จึงทำให้เลือกทุกอย่างแค่ตามเพื่อนจบสายวิทยาศาสตร์
ทั้งๆ ที่ตัวเองชอบศิลปะ ชอบที่จะร้องเพลงแต่งเพลง แต่พอเรียนจบจากเด็กที่มีเงินใช้เดือนละ 1 หมื่นจากแม่ แม่ก็ตัดความช่วยเหลือทุกอย่างเพราะเห็นว่าเรียนจบแล้วควรหาเงินใช้ด้วยตัวเอง
นาทีนั้นไม่มีเวลาคิดเลยว่าจะทำงานอะไรดี คือสมัครงานอะไรก็ได้แบบไม่มีเป้าหมายถ้าที่ไหนรับก็เข้าทำเลยเพราะไม่มีจะกินแล้ว งานเดียวที่ตรงสายสุด ก็ต้องทำงานโรงพยาบาล ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ปวดใจสุดๆ คือเป็นทอม แต่ต้องมาแต่งหน้า ใส่กระโปรง ใส่ถุงน่อง ผูกผ้าพันคอ ยืนหน้าประตู สวัสดีลูกค้าที่มาใช้บริการ
จนวันนึงยืนรับลูกค้าบ่อยๆ แล้วเห็นแต่คนรวยๆ มาใช้บริการลงจากรถเบ็นซ์ บีเอ็ม Alphad เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากรวยบ้าง เลยหาอาชีพเสริม เพราะรายได้ 8 พันกว่าบาทต่อเดือนไม่พอกินแน่ เห็นมีคนเอาบัตรเครดิตเข้ามาชวนให้คนสมัคร เลยตัดสินใจโทรไปสมัครขายบ้าง ก็ขายดีเลย และก็เริ่มเอาเพลงที่แต่งไปขาย ก็ได้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มเลย , ขาย ประกันรถยนต์ , ขายครีม , ขายตรง , รับหิ้วอาหารเช้า พูดง่ายๆ คือ ถ้าเห็นอะไรขายได้ ทำเงินได้ทำหมด
หลังจากนั้นอยากเป็นเจ้าของกิจการ พ่อเลยชวนให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน การทำงานที่บ้านทำให้เรียนรู้หลายเรื่อง ทั้งการเงิน ภาษี บัญชี และได้เข้าไปเจอไปคุย กับเจ้าของกิจการ แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือ ต้องทำงานที่สระบุรี ทำให้เราตัดสินใจอยากกลับกรุงเทพในหลายๆ ครั้ง จึงขอที่บ้านว่า ศุกร์ เสาร์ เราต้องมาร้องเพลงที่ RCA เลยมาออดิชั่น และ สรุปก็ได้ เริ่มอีกงานคือการร้องเพลงในผับ
และวันนึงเพื่อนก็ได้โทรเข้ามาเพื่อขายประกัน แต่เรามีแล้วจึงปฏิเสธเพื่อนไป เพื่อนเลยบอกว่างั้นมาช่วยสอบเป็นตัวแทนให้หน่อย เพื่อนจะเลื่อนตำแหน่ง เราจึงบอกว่ามาช่วยสอบให้ได้นะแต่เราไม่ขายนะ แต่พอขายคนใกล้ตัวได้ 1 เคส และได้ค่าคอม
จึงเห็นโอกาสในงานนี้ทันที ว่าอาชีพนี้แหละ ไม่ใช่อาชีพเสริมแต่จะเป็นอาชีพที่เปลี่ยนชีวิต จึงตัดสินใจลงมือทำเต็มที่ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการไปฟังวิชาการไลก้า และเห็นวิทยากรพูดว่า ปีที่ผ่านมามีรายได้ สิบกว่าล้าน เราจึงสนใจมากว่าเขาทำอย่างไร จึงเป็นที่มาของคำตอบว่า ต้องเป็น Of the year ซึ่งมันยากและดูไกลตัวมาก แต่ความเชื่อที่ว่าเราจะเป็นได้มันมีเยอะกว่า ทำให้เราเริ่มคิดได้ว่าการทำงานอย่างเต็มที่ไม่เพียงพอเราต้องทำงานแบบสุดชีวิต และโชคดีมากๆ ที่ในเวลานั้น หัวหน้าทั้งสองคน เชื่อในคำพูด คำประกาศของเรา รวมทั้งเพื่อนๆ ในสำนักงานคอยเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี ที่เชื่อหมดใจว่าเราทำได้ และสุดท้าย เราก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเอง แต่การสร้างประวัติศาสตร์ของสำนักงาน Signature ที่เอาถ้วยรางวัลศักดิ์สิทธ์นี้มาครอบครอง แค่กล้าคิดชีวิตก็เปลี่ยนทันที